บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Volvo S60 DRIVe 1.6L ราคา


Volvo S60 DRIVe 1.6L  ราคา
สำหรับรุ่น S จะมาพร้อมล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 215/50R17 ขณะที่รุ่น B เป็นล้ออัลอยด์ 16 นิ้ว ยาง 215/55R16 ส่วนของความบันเทิงในรุ่น S จะติดตั้งหน้าจอขนาด 7นิ้ว พร้อมสะท้อนภาพด้านหลังขณะถอยจอด ทั้งยังเล่นแผ่น DVD ได้ ขณะที่รุ่น B จะเป็นหน้าจอขนาด 5 นิ้ว เล่นได้เพียง CD และไม่มีกล้องส่องหลังช่วยจอด อย่างไรก็ตามทั้งสองรุ่นจะให้ช่องต่ออุปกรณ์ภายนอก USB AUX ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และระบบเสียงแบบ High Performance Multimedia (Level 3) 4×40 วัตต์ ขับด้วยลำโพง 8 ตัว เป็นมาตรฐาน
ด้านระบบความปลอดภัยอย่างระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมระบบเบรกแบบเต็มแรงเบรก (Pedestrian Detection with Full Auto Brake) และระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า (Adaptive Cruise control with Queue Assist and Distance Alert – ACC) จะมาเฉพาะรุ่น S เท่านั้น
โดยระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมเบรกแบบเต็มแรงเบรก จะประกอบด้วยเรดาร์ที่ติดตั้งอยู่บนกระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของกระจกมองหลัง และกล่องควบคุมระบบ เรดาร์มีหน้าที่ตรวจจับภาพมุมกว้าง 60 องศาทางด้านหน้ารถว่ามีวัตถุอยู่ในรัศมีหรือไม่ และวัดระยะห่างจากวัตถุนั้น ส่วนกล้องก็จะยืนยันว่าวัตถุนั้นเป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา หรือไม่ โดยที่เรดาร์สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนนั้นได้ด้วย ระบบนี้ติดตั้งเป็นมาตรฐานและทำงานเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กม./ชม.
ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนพร้อมกับเห็นไฟกระพริบที่หน้าปัดด้านบนของกระจกหน้ารถ สัญญาณเตือนเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายไฟเบรกเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่มีปฏิกิริยาทันที ขณะเดียวกันระบบเบรกก็จะชาร์จเตรียมไว้ หากผู้ขับขี่ไม่เหยีบเบรกเมื่อได้ยินและเห็นสัญญาณเตือน แต่ระบบคำนวณว่าจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ ระบบหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกจะทำงานทันที
ส่วนระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผัน จะแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า ช่วยให้ผู้ขับทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยในทุกระดับความเร็วจนถึง 200 ก.ม./ช.ม. ขณะเดียวกันช่วงการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าที่ระดับความเร็วต่ำกว่า 30 ก.ม./ ช.ม. ฟังก์ชั่นหยุดรถและออกตัวรถอัตโนมัติจะปรับระดับความเร็วของรถให้พอดีกับคันหน้า จากรถที่หยุดอยู่กับที่ เพียงกดปุ่มหรือเหยียบคันเร่ง ก็สามารถขับตามคันหน้าได้อย่างนิ่มนวล และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่า 30 ก.ม./ช.ม. ก็สามารถตั้งความเร็วรถที่ต้องการและช่วงระยะวลาน้อยที่สุดที่รถจะวิ่งไปถึงคันหน้า ระบบจะปรับความเร็วให้สอดคล้องกับคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ หรือแสดงไฟเตือนถ้าเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป
นั่นเป็นสองออปชันความปลอดภัยที่จัดมาให้ต่างกัน แต่ในส่วนของระบบอื่นๆยังคงมีเพียบตามมาตรฐานวอลโว่ อาทิ ระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ (Blind Spot Information system – BLIS) ระบบป้องกันรถคว่ำ (Rollover Protection System – ROPS) รวมถึงโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่ง พร้อมระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง (Side Impact Protection System – SIPS) และถุงลมนิรภัยด้านข้างที่นั่ง ม่านนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) และระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะ (Whiplash Protection System – WHIPS)
…จะเห็นว่าแค่ระบบความปลอดภัย หยิบยกมาพูดทั้งวันก็ไม่จบ ดังนั้นเวลาขับวอลโว่ เอส 60จริงๆ แล้วเปิดระบบทุกอย่างครบ ต้องบอกว่าคุณจะได้ตื่นตัว ตื่นเต้นตลอด เพราะมีทั้งแสง สี เสียง เตือนอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญยังคอยนั่งลุ้นระบบต่างๆว่าจะเตือนหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร…ซึ่งใครขับ เอส60 แล้วยังเกิดอุบัติเหตุได้ คงต้องยอมรับในฝีมือ หัวใจ หรือไม่ก็เป็นคนเมาจนขาดสติ
สำหรับความรู้สึกในการขับขี่ แทบไม่ต่างจากรุ่น CBU ที่วางเครื่องยนต์ 2.0 หรือถ้าเทียบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่เดิมทำได้ 8.2วินาที แต่พอมาเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ 180 แรงม้า ก็ยังทำได้ 9 วินาที โดยจังหวะออกตัวยังมีอาการดึง มีแรงกระชากแบบหลังติดเบาะเล็กๆ แต่ย่านความเร็วกลาง (50-80 กม./ชม.)อาจจะต้องบี้คันเร่งลงไปหนักหน่อยและรอจังหวะให้เทอร์โบบูสสัก 1-2 วินาที จากนั้นพอรอบทะลุ 3,000 -3,500ไปแล้วก็พุ่งกระฉูด
อย่างไรก็ตามเมื่อขับขี่ทางไกล อาจรู้สึกว่าพลังเครื่องยนต์จะมาแบบไม่ค่อยนุ่มเนียนเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์3 หรือเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส ที่วางเครื่องยนต์เบนซินในพิกัด 2.0 ลิตร และ 1.8 ลิตรตามลำดับ นี่ไม่ต้องพูดถึงรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่ส่งแรงได้แบบต่อเนื่องและสมูทกว่ามาก
ด้านพวงมาลัยน้ำหนักเบา ระยะสั่งงานดูจะขาดๆเกินๆ หลายครั้งควบคุมไม่ได้ดั่งใจและไม่สัมพันธ์กับความเร็วรถ ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวพอสมควร ขณะที่ช่วงล่างก็พยายามเซ็ทมาให้สปอร์ตกว่าวอลโว่รุ่นเดิมๆ รวมถึงรุ่นพี่ เอส 80 อยู่นิดๆ ซึ่งในภาพรวมสามารถรองรับได้ทั้งอารมณ์นุ่มนวล และให้ความนิ่งหนึบในการขับความเร็วสูง
ขณะเดียวกันเมื่อรวมกับการเซ็ทน้ำหนักแป้นเบรกและจังหวะการตอบสนองของเบรกอย่างลงตัว ตลอดจนสุดยอดของการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกแล้ว วอลโว่ เอส60 ให้ความมั่นใจในการขับขี่เป็นมาก
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย วอลโว่เคลมว่าทำได้ 13.9 กม./ลิตร แต่ถ้าใช้แก๊สโซฮอล์ อี85 จะได้ตัวเลข 10.3 กม./ลิตร
ขอบคุณบทความจากผู้จัดการครับ
http://www.manager.co.th/motoring/viewnews.aspx?NewsID=9550000056249

ประวัติความเป็นมาของ BMW


ประวัติความเป็นมาของ BMW
Friedrich Karl Rapp คือชื่อของผู้ก่อตั้ง BMW   หนึ่งของโลกที่ใหญ่ที่สุด บริษัท ผลิตรถยนต์ทั่ว BMW หรือชื่อเต็มในภาษาเยอรมันว่า  Bayerische Motoren Werke (Bavarian Motor Works) ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 เป็นผู้สืบทอดที่ Rapp มอเตอร์
หลายคนคิดว่าโลโก้ของ BMW มาจากใบพัดสีขาวหมุนเห็นพื้นหลังของสีฟ้าที่ นี้อาจจะให้ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นที่รู้จักกันว่ายังมาจากธงสีขาวและสีฟ้าของบาวา เรีย  รัฐใหญ่ที่สุดของเยอรมนี เมืองหลวงของรัฐคือมิวนิ คและเป็นสถานที่ที่แม้วันนี้เราสามารถหาสำนักงานใหญ่ BMW
ในปี 1916 ด้วยรากฐานของ บริษัท สัญญาเป็นหลักประกันสำหรับการสร้างเครื่องมือ V12 เครื่องมือเหล่านี้จะถูก ใช้ในการสร้างรถยนต์จาก Austro – Daimler นี้ 12 ถังเครื่องยนต์ V ที่ใช้เป็นครั้งแรกในเครื่องบินซึ่งเป็นแผนเดิมของ บริษัท BMW การบัญชีเวลาที่ บริษัท ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นอย่างมากจะให้พวกเขาต่อไปเช่นนั้น
แต่ใน 1919 หลังสงครามโลกครั้งและสนธิสัญญาแวร์ซายการผลิตเครื่องบินในประเทศเยอรมนีได้ ห้ามและที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการเมืองของ BMW พวกเขาเริ่มทำเบรกสำหรับ การขนส่งทางรถไฟ หลังจากที่ BMW ก็สามารถออกแบบเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ซึ่งใช้สำหรับการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีชื่อเรียกว่ารุ่น Victoria Victoria แต่ไม่ได้สร้างโดย BMW แต่ บริษัท อื่นใน Nuremberg
1924 BMW ทำในรูปแบบของรถจักรยานยนต์ที่เป็นครั้งแรกหนึ่งพวกเขาสร้าง  R32 นี้เป็นจุดเปลี่ยนใน ประวัติศาสตร์ BMW เพราะมันเป็นความสำเร็จที่สำคัญและทศวรรษที่พวกเขาใช้เทคโนโลยี 500 ซีซีของเครื่องยนต์เย็นลงโดยอากาศ หลังจากที่ BMW เพิ่มหนึ่งนวัตกรรมใหม่ driveshaft มาแทนสายสำหรับการขับขี่ ที่ล้อหลังและเป็นเครื่องหมายของ BMW สำหรับค่อนข้างบางเวลา
ในเยอรมันเมือง Eisenach ในปี 1927 เริ่มผลิต Dixi  ภายใต้ใบอนุญาต แต่เพียงหนึ่งปีหลังจากที่ บริษัท Dixi ถูกซื้อโดย BMW และพวกเขาเริ่มผลิตมวลร่วมกับรุ่น Austin Seven
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ เริ่ม BMW เอาสถานที่ในนั้นเพราะทางฝ่ายกองทัพของเยอรมัน พวกเขาใช้ BMW R75 พร้อมกับ BMW R12 เพราะต้องสูงของเครื่อง ยนต์ BMW บันทึกที่ระยะเวลาเป็นผลกำไรสูง BMW เป็นผู้ผลิตหลักและแม้คำนี้เช่น Wehrmacht Luftwaffe และนำความทรงจำมากมาย ของเครื่องบินที่ดีที่สุด ในครั้งประวัติศาสตร์ที่ใช้ BMW เครื่องยนต์ – Aero และจนถึง 1945 กว่า 30 000 เครื่องบินกับเครื่องมือเหล่านี้ผลิต
BMW ได้ทำวิจัยซึ่งทำให้ บริษัท เพื่อให้เครื่องยนต์เจ็ทที่แตกต่างกันสำหรับอาวุธ ด้วยการใช้อำนาจบางคนซึ่ง ประกอบด้วยส่วนใหญ่นักโทษของสงคราม BMW ที่ทำอาวุธจรวดตามจำนวนมากที่ถูกใช้ในสงคราม
หลังจากการสร้างอาวุธจรวด ตามส่วนของ บริษัท มี bombed โซเวียตวอดส่วนใหญ่ของ บริษัท ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของเยอรมนีและโรงงานฐานในมิวนิคถูกทำลายเกือบสมบูรณ์
หลังจากสงคราม BMW ไม่สามารถกู้คืนได้อย่างรวดเร็วเพราะต้องสร้างโรงงานในมิวนิคที่ หลังจากที่เมื่อข้อ จำกัด จากพันธมิตรที่ใช้กับ BMW ถูกห้ามยาวสามปีที่ บริษัท ถูกห้ามจากการผลิตรถจักรยานยนต์และรถยนต์จน 1948 ถึง 1952
ใน 1951 บริษัท บาวาเรียก็สามารถคืนเครื่องหมายการค้าและมันดูเหมือนเป็นที่สุดสามารถกู้และ เริ่มต้นใหม่จากสิ่งที่เหลือ ในปี 1959 Herbert Quandt กลายเป็นล้อ”ที่เปิด BMW รอบเพราะเขาปฏิเสธจัดการกับ Daimler – Benz และทันทีหลังจากที่เขาเพิ่มขึ้นของหุ้นใน บริษัท BMW ได้ถึง 50%
ชื่อของ Kurt Golda เป็นดังคนที่ incited Quandt ทำขั้นตอนนี้และในปีเดียวกัน BMW เริ่มผลิตของ BMW 700 ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ BMW 600 นี้รถยนต์ขนาดเล็กใช้ 2 สูบอากาศเย็นเครื่องยนต์และหลายปีต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น LS” Coupe และชุดรถคับเบรียเลต์บางคนยังผลิต
ในปี 1963 BMW เสนอเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นของ บริษัท และในปี 1966 โรงงานในมิวนิคมาถึงความจุสูงสุดและ BMW ซื้อ Hans Glas GmbH ข้อนี้ใช้ BMW เพื่อใช้ในโรงงาน Landshut และ Dingolfing
กับรูปแบบใหม่ที่ให้ Bertone ในปี 1972 BMW เริ่มผลิตชุดใหม่ 5 และในปีต่อ บริษัท ที่ทำก้าวหน้าใหญ่ในตลาด 6 ปีภายใต้การนำของ Bernd Pischetsrieder BMW ได้สามารถขยายการจัดการในตลาดโดยการซื้อจาก British Aerospace Rover Group ประวัติ Rover กลุ่มเริ่มต้นในปี 1986 และจนถึงขณะเมื่อ BMW มันเป็นของ บริษัท นี้ก็สามารถบรรลุสิ่งหลายอย่างเช่น Rover 400 ในปี 1990
แต่ Rover ถูกขายให้กับ Phoenix Holdings Venture และ Ford Motor Company เพราะบางปีขาดทุน BMW ตลกกดเรียก Rover”ผู้ป่วยอังกฤษ”หลังจากที่ออกภาพยนตร์ที่คนชื่อซ้ำกับคนอื่น นี้ แต่ไม่ยากที่ BMW และพวกเขาได้งดเว้นจากการตำหนิ ดูเหมือนว่าแม้แต่กด British ไม่มากกระตือรือร้นเกี่ยวกับ Rover
BMW เริ่มผลิตนอกประเทศเยอรมนีในปี 1994 โรงงานใหม่ที่ทำใน South Carolina และวันนี้ยังผลิต BMW X5 และ BMW Z4 ทำมี มีโรงงานในสถานที่อื่น ๆ บางอย่างก็เป็นเช่น Oxford, Goodwood และอื่นๆ หลังจากเวลาในการชุมนุม BMW เริ่มผลิตในแอฟริกาใต้ ส่งออกวันนี้ BMW กว่า 50 000 3 คัน Series ปีญี่ปุ่น, อเมริกา, แอฟริกา, ออสเตรเลียและตะวันออกกลาง
เพื่อรองรับตลาดในยุโรป ตะวันออกและตะวันออกกลาง BMW วางแผนที่จะเริ่มการก่อสร้างโรงงานใหม่หรืออยู่ในไซปรัสกรีซ พืชใน Chennai, อินเดียแล้วเปิดการผลิตในปี 2007
โดยปกติแล้วรถยนต์ BMW จะมีการบอกรุ่น และ รหัสต่างๆไว้ที่ด้านท้ายของรถตรงตำแหน่งด้านขวาของฝากระโปรงท้าย ยกตัวอย่าง เช่น 318iA, 523iA, X5 4.4 เป็นต้นซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะบอกถึง ซีรี่ย์ของรถ และขนาดเครื่องยนต์ไว้ซึ่งเราสามารถแยกแยะ ได้ดังนี้
ในกรณีที่บอกเป็นตัวเลข 3 หลัก เช่น 318iA เป็นต้น
- ตัวเลขตัวแรกจะบอก ซีรี่ย์ของรถ เช่น 3 ก็จะหมายถึงซีรี่ย์ 3 ซึ่งในปัจจุบันจะมีใช้อยู่ก็คือ ซีรี่ย์ 3, ซีรี่ย์ 5, ซีรี่ย์ 7, ซีรี่ย์ 8 (หมดการผลิตรุ่นปัจจุบันไปแล้วคาดว่าจะมีรุ่นใหม่ในอนาคต), ซีรี่ย์ 6 (ตอนนี้ไม่มีแล้วเช่นกัน แต่อีกไม่นานคาดว่าจะเปิดตัว โดยโครงสร้างหลักจะเป็นรถต้นแบบ Z9) และ ซีรี่ย์ 1 ซึ่งจะเปิดตัวในอนาคต
- ตัวเลข 2 ตัวหลังจะบอกขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้ เช่น 18 ก็จะหมายถึง เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เป็นต้น แต่ตัวเลขนี้อาจจะไม่ตรงกับ ขนาดเครื่องยนต์ที่แท้จริงนัก เนื่องจากหลังๆ BMW มักจะเพิ่มขนาดเครื่องจนสูงกว่าตัวเลขนี้ไปเช่น 318i E46 ก็จะมีขนาดเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร หรือตัว minorchange ก็จะเป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เป็นต้น
- รหัสตัวอักษรข้างหลังจะบอกรายละเอียดอื่นๆ ดังนี้
S = Sport Model    ใช้กับรุ่นสปอร์ท หรือ 2 ประตู เช่น 318is(รุ่นหลังๆจะใช้ C)
E = Economy engine    มาจากภาษากรีก “eta” ซึ่งมีความหมายว่า “Efficiency” ใช้กับรุ่น 325e และ 528e
T = Turbocharger engine    ถ้าใช้ t ตัวเดียวหมายถึงเครื่องยนต์ดีเซล
ถ้าเป็น td หมายถึง turbodiesel
ถ้าเป็น tds หมายถึง Intercooled turbodiesel
T = Touring    รุ่นหลังๆ t จะหมายถึงรุ่น touring ที่เป็นตัวถังแบบ Wagon
X = All wheel drive model    ใช้กับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ในรุ่น E30 ใช้เป็น ix ส่วนในรุ่นใหม่ E46 ใช้เป็น xi
L = Long wheel base model    ใช้กับรุ่นฐานล้อยาวในซีรี่ย์ 7 บางครั้งใช้นำหน้าเช่น L7 ซึ่งนอกจากฐาน ล้อยาวแล้ว ยังเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษด้วย (Luxury)
C or CS = Coupe    ใช้กับรุ่น 2 ประตู บางครั้งใช้ร่วมกับตัว S เช่น CS Coupe sport
A = Automatic transmission    ใช้กับรุ่นที่เป็น เกียร์ออโตเมติก
SE = Special edition    รุ่นพิเศษ ในบ้านเรา เช่น 318iASE เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีรถรุ่นอื่นๆที่ไม่ได้ใช้เลข 3หลักบอกซีรี่ย์อีกเช่น Z3, Z8, Z9, X5, และตัวแรงรหัส M3 และ M5 ซึ่งในบางรุ่นจะ บอกขนากเครื่องยนต์ไว้ต่อท้าย เช่น Z3 1.8i, X5 3.0i หรือ 4.4i เป็นต้น
ส่วนรหัส M ก็จะหมายถึง Motorsport โดยเริ่มจาก M1 และตัวที่โด่งดังที่สุดคือ M3 นอกจากนี้ก็มี M5 และ M6
ต่อจากรุ่นก็เป็นรหัสตัวถัง รหัสตัวถังในรุ่นใหม่จะใช้ E นำหน้า ปกติแล้วใช้เป็นการภายในของ BMW เองแต่กลับแพร่ หลายออกมาจนคนทั่วไปก็นำมาเรียกขานกัน ในบางรุ่นจะมีรหัสพิเศษต่อท้ายอีก แต่คงไม่ได้นำมาพูดถึง เช่น รหัส E36/7 จะหมายถึง Z3 ตัวปัจจุบัน เป็นต้น
ที่มา http://www.bmwworld.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ford.com
หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว ทาง Ford ได้เผยโฉมให้เห็นกับ ”Ford Focus ST” รุ่นปี 2013 กันแบบเต็ม ๆ แล้ว มาในปีนี้ Ford ก็เดินหน้าลุยอย่างเต็มตัว เพราะ ณ ขณะนี้ Ford Focus ST รุ่นปี 2013 พร้อมแล้วกับการเตรียมออกจำหน่ายใน 40 ประเทศทั่วโลก

Ford Focus ST 2013
สำหรับ Ford Focus ST 2013 นี้ จะมาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อยคือ ST1, ST2 และ ST3 ทั้งแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตูและแบบเอสเตทที่จัดเต็มกับความสปอร์ตแบบไม่มียั้ง เริ่มตั้งแต่ส่วนของเครื่องยนต์ที่ใช้ EcoBoost 2.0 ลิตร Ti-VCT ทำกำลังสูงสุดที่ 250 แรงม้า กับอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เวลา 6.5 วินาที ซึ่งส่งกำลังผ่านเกียร์แบบธรรมดา 6 สปีดที่ได้รับการปรับเซ็ทขึ้นมาใหม่

Ford Focus ST 2013
ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์ดูจะแรงน่าดู แต่เรื่องของความปลอดภัยนั้น ทาง Ford เอง ก็ได้จัดการเรื่องนี้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับอัตราทดพวงมาลัยขึ้นใหม่ เพื่อลดความเร็วเมื่อขับในทางตรง ตามด้วยระบบ ”Torque Vectoring Control” ที่ช่วยให้การเบรคของล้อทำได้ดีมากขึ้น และระบบควบคุมสเถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) ที่มีให้เลือกใช้ 3 แบบ ทั้งการใช้งานตามปกติเพื่อเน้นการยึดเกาะถนน การใช้งานเฉพาะ ESP สำหรับเส้นทางที่จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือจะเลือกปิดระบบนี้ไปเลยก็ได้ สำหรับคนที่อยากจะใช้สมรรถนะแบบไม่ยั้ง
มาดูในส่วนของการดีไซน์บ้าง อย่างที่บอกไปว่า Ford Focus ST 2013 เน้นในเรื่องของความเป็นลุคสปอร์ต ฉะนั้น ไม่ว่าจะภายในหรือนอก ก็จะมีดีไซน์ที่น่าสนใจมาก ๆ โดยภายนอกนั้น  ก็จะมีดีไซน์ตามแบบฉบับของ Ford แต่แฝงไปด้วยลูกเล่นมากมาย ตั้งแต่ส่วนกระจังหน้าที่เป็นแบบรังผึ้ง ไปยันท้ายรถที่ใช้ท่อไอเสียคู่ที่รับกันกับดีไซน์ทั้งหมด และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านขนาด 18 นิ้ว
ด้านภายใน สะดุดตาทันทีกับเบาะนั่งของ Recaro ที่กระชากอารมณ์ของความเป็นรถสปอร์ตแบบสุด ๆ อีกทั้งยังมีพวงมาลัย หัวเกียร์ และแป้นเหยียบที่ได้รับการดีไซน์ขึ้นใหม่ ตามด้วยหน้าจอบริเวณคอนโซลที่ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยระบบสั่งการด้วยเสียง และชุดเครื่องเสียงของ Sony กับลำโพงกว่า 10 ขุดที่มีอยู่กระจายทั่วห้องโดยสาร
ตามรายงานระบุว่า Ford จะส่ง Focus ST 2013 ออกจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แต่ก็ยังไม่ทราบราคาที่แน่ชัดว่าทาง Ford ตั้งไว้ที่ค่าตัวเท่าไหร่ แต่จากการคาดการณ์ของกูรูรถยนต์หลาย ๆ คนมองว่า น่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 25,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 750,000 บาท ซึ่งก็แน่นอนว่า นี่เป็นราคาที่ยังไม่ได้รวมภาษีของแต่ละประเทศแต่อย่างใด

ความรู้เรื่องเกี่ยวกับท่อไอเสีย


ความรู้เรื่องเกี่ยวกับท่อไอเสีย
ก่อนเข้าเรื่องต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ท่อไอเสียมันมีหน้าที่ไว้ทำอะไรก่อนนะครับ เผื่อจะสับสนกับท่อแอร์หรือท่อน้ำฉีดกระจก หน้าที่หลักๆของมันก็คือ
1. ข้อแรกกำปั้นทุบดินชัดๆไปเลยว่า เอาไว้ระบายไอเสียที่เครื่องยนต์มันไม่ต้องการแล้วออกจากเครื่องยนต์
2. เอาไว้ลดเสียงระเบิดในเครื่องยนต์ให้มันน้อยลง
3. เอาไว้กรองมลพิษให้ออกมาสู่อากาศให้น้อยลง
 
ทีนี้มาเจาะลึกกันทีละข้อเลยนะครับ ว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังหน้าที่ของมันเนี่ยมันเริ่มตรงไหน อย่างไร ทำไม เพราะอะไร
มาที่ตัวไอเสียก่อน ไอเสียนี่ก็คือสิ่งที่เหลือจากการเผาไหม้ของน้ำมันที่ผสมกับอากาศ(บางคันอาจจะมีไนโตรเจนปนมาบ้าง) สิ่งที่หลงเหลือจะประกอบไปด้วยสารหลายอย่าง เช่นคาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ฟอสฟอรัส และพวกโลหะหนักต่างๆเช่น ตะกั่ว และ โมลิบดีนัม ทั้งหมดนี้จะรวมออกมาในรูปของกาซที่พุ่งออกมาภายใต้แรงดันของกระบอกสูบ ผ่านต่อมายังท่อรวมไอเสียหรือที่เรียกว่า Exhaust Manifold หรือบางคันก็จะเป็น Header ก็สุดแท้แต่ เรื่อง Header เอาไว้ก่อนละกันนะครับ เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง เอาเรื่องท่อรวมไอเสียแบบพื้นๆธรรมดาๆก่อน
ท่อรวมไอเสียส่วนใหญ่จะทำมาจากเหล็กหล่อเป็นดุ้นๆมากกว่าจะรูปร่างเป็นท่อ ทำหน้าที่เป็นต่อออกมาโดยตรงจากกระบอกสูบแล้วมารวมกัน ถ้าเครื่องสี่สูบก็จะมีสี่ท่อ จะรวมมาเป็นสองท่อก่อน หรือจะรวมทีเดียวเป็นหนึ่งท่อเลยก็แล้วศรัทธาของค่ายไหน แต่ไอ้แบบสี่ท่อออกมาจนถึงท้ายรถยังไม่เคยเห็น ดุ้นรวมไอเสียแบบธรรมดานี้หน้าตาก็บอกแล้วค่อนข้างปล่อยให้ไอเสียไหลไม่ค่อยคล่อง เครื่องยนต์ก็เลยต้องใช้ความพยายามหนักหน่อยที่จะผลักให้ไอเสียมันผ่านดุ้นนี้ออกมา ก็เลยเสียกำลังไปบ้าง 
ตอนที่ไอเสียมันหลุดออกมาจากกระบอกสูบ ถ้าใครเคยได้ยินรถที่ติดเครื่องเปล่าๆไม่มีท่อรวมไอเสียคงจะรู้ว่ามันดังมาก ย้ำว่าดังมากๆ ดังราวๆกันเสียงปืนเลยทีเดียว ไอเสียมันจะออกมาด้วยแรงดันที่สูงมากที่เกิดจากแรงระเบิดส่วนนึง และจากการขับไล่ไสส่งจากลูกสูบส่วนนึง และอีกส่วนนึงผมยังไม่บอกตอนนี้ละกันอ่านไปเรื่อยๆเดี๋ยวหลุดออกมาเอง
ทีนี้แถมาเรื่อง Header อีกหน่อย ในเมื่อไอเสียมันลอดไปตามรู Header เหมือนกันแล้วเมื่อกี้พูดเหมือนกับว่า ไอเสียมันจะลอดไปดีกว่าแบบธรรมดา มันเป็นยังไงกันแน่ คือแบบนี้ครับ มันดีกว่าในข้อแรกคือ Header มันคือท่อ และมันทำจากท่อ มันจึงดูเหมือนท่อมากกว่า จะดัดจะโค้งจะทำให้ยาวให้สั้นได้ดีกว่า ไอเสียมันก็เลยแยกกันไหลได้ดีกว่าแบบธรรมดาที่เป็นดุ้นที่ไอเสียมันจะออกมาโครมมากองรวมกัน
ตรงนี้ก็คงจะมีคำถามอยู่ในใจแล้วล่ะว่า ถ้ามันบั่นทอนกำลังขนาดนั้น แล้วบริษัทรถยนต์เกือบทั้งหมดในโลกนี้ทำไมไม่ใช้ Header ใส่แบบธรรมดาๆเข้าไปหาพระแสงอันใดล่ะ คำตอบก็คือมันถูกดีครับ ลดต้นทุนไปได้เยอะ แถมติดตั้ง ถอดใส่ได้ง่ายๆอีก แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือรถที่ผลิตออกมา มันไม่จำเป็นต้องแรงเป็นรถแข่งทุกรุ่นหรอกครับ เอาไว้ขับไปจ่ายตลาดเสียก็เยอะ
ขออธิบายง่ายๆแบบนี้ละกันครับ ตอนนี้ให้ไอเสียมันไหลต่อนะครับ
 
ทีนี้มันจะไหลผ่านท่อไปอีกหน่อย ก่อนที่จะเข้าสู่ Catalytic Converter หรือเรียกกันสั้นๆว่า CAT หรือ KAT ก็สุดแท้แต่ แต่อ่านออกเสียงแบบไทยๆว่า ?แคท? เจ้า Catalytic Converter นอกจากจะช่วยกรองสารพิษ(บางส่วน)ที่เป็นอันตรายต่อปอดของคุณเองและผู้อื่นแล้ว ยังช่วยลดการก้องของเสียงที่จะออกมาที่ปลายท่อได้ มีคำร่ำลือปากต่อปากว่าถ้าเอา Catalytic Converter ออกแล้วรถจะแรงขึ้น อันนี้จริงและพิสูจน์ได้ทางคณิตศาสตร์ แต่สองแรงม้าห้าแรงม้าที่มันเพิ่มขึ้นมา ไม่ได้ถึงกับทำให้คุณรู้สึกได้ที่ปลายเท้าของคุณหรอกครับ บางทีแค่เอาของที่คุณเก็บไว้เต็มท้ายรถในรถออกเสียบ้าง เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/กรองอากาศ/หัวเทียนให้ตรงเวลา หรือแม้แต่แล้วกินข้าวเย็นให้มันน้อยลงมาหน่อย มันจะทำให้รถคุณวิ่งดีขึ้นโดยไม่ต้องไปยุ่งยากตัดต่ออะไรเสียด้วยซ้ำไป ในบางประเทศถ้าคุณไปถอดมันออก เค้าถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายที่มีโทษปรับหลายหมื่นไทยบาททีเดียว เก็บมันเอาไว้อย่างนั้นใต้ท้องรถเถอะครับ เชื่อผมเถอะ

พอมันออกมาจาก Catalytic Converter แล้วมันก็จะวิ่งไปอีกหน่อยก่อนเข้า Resonator และ Muffler สองตัวนี้เรียกแบบไทยๆรวมกันว่า ?หม้อพัก? แต่จริงๆแล้ว มันเป็นคนละชนิดกันนะครับ และทำงานไม่เหมือนกัน ไอ้เจ้า Resonator และ Muffler นี้อาจจะมีตัวเดียวหรือหลายตัวก็สุดแล้วแต่ การออกแบบของรถนั้นๆเค้า อ่านต่อไปอีกหน่อยนะครับ เดียวรู้เองว่ามันต่างกันยังไง 
ในบางโฆษณาต่างๆที่เคยเห็นกันบ่อยๆว่า หม้อพัก สูตรเพิ่มแรงม้าอะไรเทือกนั้น อันนี้ไม่จริงครับถามนักแข่งรถ/ช่างทำเครื่องรถแข่งได้เลย เค้าจะบอกว่า หม้อพักที่ดีที่สุดก็คือ ?ไม่มีหม้อพัก? ครับ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงบนท้องถนนหลวงมันต้องมีหม้อพักเพื่อไม่ให้คุณจ่าที่ยืนรอที่หัวมุมถนนสนใจรถคุณมากนัก อีกทั้งเป็นการช่วยลดภาระของเพื่อนบ้านร่วมซอยของคุณที่ไม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อยตื่นมาสรรเสริญเยินยอรถคุณตามหลังทุกๆวัน แต่ที่บอกว่ามันเพิ่มแรงม้านั่นมันน่าจะหมายถึงว่ามันเอาแรงม้าที่มันเสียไปจากที่ใดที่หนึ่ง กลับคืนมาให้รถคุณแบบที่มันควรจะเป็นเท่านั้นเอง
ก่อนจะปล่อยให้ไอเสียมันออกไปที่ปลายท่อ มาลองดูกันก่อนว่าเจ้า หม้อพัก เนี่ยมันหลักการทำงานอะไรบ้าง มันมีอยู่สามหลักครับคือ แบบดูดซับเสียง(Absorption), แบบจำกัดเสียง (Restriction), และแบบสะท้อนเสียง (Reflection) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหม้อพักทุกหม้อจะมีคุณสมบัติทั้งหมดที่ว่ามานี้ บางยี่ห้ออาจมีอย่างเดียว สองอย่าง หรือทั้งหมด แล้วแต่คุณภาพและราคา 
เริ่มที่แบบดูดซับเสียง(Absorption) ก่อนละกัน แบบนี้เป็นแบบที่ ข้างในจะบุด้วยใยแก้ว หรือใยโลหะ ไอเสียจะวิ่งผ่านท่อข้างในที่เจาะเป็นรูพรุน (perforated tube) ที่หุ้มใยพวกนี้ไว้ ทำให้เสียงลดลง แบบดีขั้นมาอีกหน่อย ภายในมันจะถูกกั้นเป็นห้องๆจากห้องใหญ่ไปห้องเล็ก เมื่อไอเสียวิ่งผ่านห้องพวกนี้ มันจะค่อยๆช้าลงเสียงมันจะลดลงด้วย ข้อเสียของแบบนี้คือไม่ค่อยลดเสียงเท่าไหร่ แต่ข้อดีคือไอเสียผ่านได้คล่อง
แบบจำกัดเสียง (Restriction) แบบนี้เป็นแบบมาตรฐานที่เห็นได้ในหม้อพักติดรถและตามร้านท่อไอเสียทั่วๆไป ข้อดีมองไม่เห็นข้อเสียก็ไม่ค่อยชัด เหมือนเดินไปในร้านอาหารบอกว่าอยากกิน Coke แต่เด็กหยิบ Pepsi มาให้หน้าตาเฉย คนก็กินได้หน้าตาเฉย เอาเป็นว่าถ้าอยากกินน้ำซ่าๆสีดำๆ ให้พูดว่า Coke มันจะเป็นยี่ห้ออื่นอะไรก็ไม่ได้เป็นสาระสำคัญที่จะมาไม่จ่ายตังกัน เอาเป็นว่าข้ามไปเลยละกันนะครับ
แบบสะท้อนเสียง (Reflection) แบบนี้เด็ดมาก ต้องคำนวณออกแบบกันให้ดีเลยละครับ ไม่งั้นไม่ work แน่นอน ภายในจะออกแบบให้คลื่นเสียงสะท้อนหักล้างกันภายใน ลองนึกถึงสมการคณิตศาสตร์ที่เรียนตอนเด็กๆ เมื่อโยกตัวแปรทุกอย่างมาทางซ้ายทางขวาจะเท่ากับศูนย์ แล้วคุณก็จัดการตัดเหล็ก พับเหล็ก ม้วนเหล็กตามค่าตัวแปรนั้นเสีย มันเป็นแบบนั้น นี่คือหลักการของ Resonator ด้วย 
เอาล่ะครับเข้าเรื่องได้แล้ว นี่คือตัวเอกของเรื่อง มาทำความรู้จักสิ่งที่เรียกกันว่า Exhaust Pulse กันดีกว่า ผมอยากใช้คำว่า ?ชีพจรของไอเสีย? จัง ฟังดูขลังดี แต่รู้สึกแปลกๆไม่เหมือนว่ากำลังคุยกันเรื่องรถยนต์ เอาเป็นว่าผมเรียกมันว่า Pulse ละกัน เดี๋ยวอ่านจบแล้วรู้ว่ามันคืออะไรช่วยบัญญัติคำสวยๆให้ผมหน่อยเถอะ
Pulse นี่สำคัญ จากที่พูดไว้ตอนแรกแล้วว่า ไอเสียมันออกมาจากเครื่องยนต์ภายใต้แรงดันสูง ทีนี้จดลงไปเพิ่มอีกนิดว่า ?มันจะออกมาทีละสูบไม่พร้อมกันและจะออกมาเป็นช่วงๆมีช่วงเว้นวรรคระหว่างสูบ? ไม่ต้องเอาหูไปแนบฟังว่ามันเว้นวรรคนานขนาดไหนนะครับ มันแค่เศษเสี้ยวของวินาทีไม่สังเกตได้ด้วยตาเปล่าและหูเปล่าๆ เมื่อวาล์วไอเสียเปิด ไอเสียจะไหลออกมา เมื่อปิดไอเสียก็ไม่มี พอเปิดอีกทีมันก็ไหลออกมาอีก ไอ้ช่วงเว้นวรรคระหว่างการคายไอเสียแต่ละสูบเนี่ย เค้าเรียกกันว่า ?Pulse? ยิ่งเครื่องยนต์สูบมาก Pulse ก็ยิ่งสั้นลง
ทีนี้จินตนาการดูว่า เมื่อไอเสียมันถูกดันออกมาเป็นช่วงๆ มันจะเป็นรูปคลื่นวิ่งตามๆกันไปอยู่ในท่อ =>ที่ด้านใกล้เครื่องยนต์จะมีแรงดันมากสุดเทียบกับความดันบรรยากาศ => ที่ด้านใกล้ปลายท่อสุดจะมีแรงดันน้อยกว่าความดันบรรยากาศ ความแตกต่างของความดันระหว่างจุดสองจุดจะทำให้เกิดแรงดูดภายในท่อ เจ้าคลื่นไอเสียจะถูกทำให้เคลื่อนตัวไปภายใต้แรงนี้
เพราะฉะนั้น ตอนนี้อยากจะสรุปไปเลยว่าไอเสียก็คือ ไอเสียที่เครื่องยนต์ไม่ต้องการที่ Pattern ของมันถูกจัดเรียงเป็นคลื่นตามลักษณะของ Pulse นั่นเอง และประสิทธิภาพของการไหลของไอเสีย จะเกิดจากการสร้างท่อไอเสียให้เกิดความแตกต่างของความดันระหว่างต้นท่อกับปลายท่อให้มากที่สุด และต้องให้ ?สอดคล้อง? กับ Pattern ของ Pulse ด้วย 
เมื่อทุกอย่างลงตัว ท่อไอเสียไม่ได้เป็นแค่ท่อเหล็กที่ให้ไอเสียผ่านไปออกที่ท้ายรถเฉยๆอีกต่อไป แต่มันจะช่วย ?ดูด? ไอเสียที่อยู่ในท่อให้ออกไปเร็วขึ้นด้วย และนี่ก็คือหลักการของ Header ด้วยครับ การออกแบบ Header ให้จับคู่กัน ที่มีความความโค้งและความยาวต่างๆกัน จะทำให้เกิดแรง ?ดูด? สลับกันไปสลับกันมา ซึ่งกันและกันครับ
ทีนี้มาเรื่องของขนาดครับ ได้ยินกันมามากว่าท่อยิ่งใหญ่ยิ่งดี อันนี้ตอบไว้ก่อนเลยว่าไม่จริง
แต่ถ้าบอกว่าเครื่องยนต์ของคุณมันต้องการท่อขนาด 3 ? นิ้ว (ไม่ว่าคุณจะไปโมเครื่องยนต์มันมาหรืออย่างไรก็ตามเถอะ) แต่ท่อเดิมของคุณมันเป็น 2 นิ้ว แล้วรถมันวิ่งไม่ออก ไม่แรง คุณต้องไปทำให้มันใหญ่ขึ้นเป็น 3 ? มันถึงจะแรง อันนี้จริง
แต่ไม่ได้หมายความรถคุณใช้ 2นิ้วอยู่ดีๆแล้วไปเปลี่ยนเป็น 3 ? นิ้วแล้วมันจะแรง อันนี้ไม่จริง ฟังดูแล้วขัดๆกับความรู้สึกนะครับ เป็นไปได้ไง ใหญ่กว่ามันต้องไหลดีกว่าสิ เขียนผิดหรือเปล่า ยืนยันอีกทีครับว่าไม่ผิด หลักการที่คุณพูดมันอาจจะถูกถ้าเราพูดถึงท่อระบายน้ำทิ้งที่อ่างล้างหน้า แต่นี่เรากำลังพูดถึง แรงดันที่ต้นท่อ แรงดันปลายท่อ และรูปร่างของ Pulse ครับ ลองกลับขึ้นไปอ่านด้านบนเพื่อความเข้าใจอีกทีหนึ่ง
มัน ?เกือบ? จะมีสูตรสำเสร็จสำหรับขนาดของท่อบอกไว้เหมือนกันนะครับ ว่ารถคุณควรจะใช้ท่อขนาดไหน ตามนี้ครับ 200 +/- แรงม้า ควรจะ 3 นิ้ว 250-300 แรงม้า ควรจะ 3 ?- 4 นิ้ว 400-500 แรงม้า ควรจะ 4 นิ้ว 500 แรงม้าขึ้นไป อันนี้ตามสะดวกแล้วล่ะครับ
น่าจะครบแล้วนะครับ ต้นท่อ ปลายท่อ ขนาดท่อ อะไรที่มันวิ่งอยู่ในท่อ หวังว่าคงให้ความกระจ่างได้ไม่มากก็น้อยนะครับ

Jeep Grand Cherokee SRT-8 สเปค ราคา ความคุ้มค่า


Jeep Grand Cherokee SRT-8 สเปค ราคา ความคุ้มค่า
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก leftlanenews.com

          ถ้าพูดถึงรถจี๊ป คุณคงนึกถึงรถใหญ่ ๆ ที่เหมาะสำหรับการขับเที่ยวลุยป่าลุยเขาหรือพื้นผิวที่ลำบากได้เพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่ได้เห็นรถแรงของจี๊ปคันล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวออกมานี้ เห็นทีว่าภาพลักษณ์เดิม ๆ ของจี๊ปในความคิดคุณอาจจะเปลี่ยนไป เมื่อจี๊ปได้ผลิต Jeep Grand Cherokee SRT-8 รถจี๊ปรุ่นล่าสุดที่มาความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยผลิตมา
          โดยรถจี๊ปรุ่น SRT นี้เป็นการปรับปรุงรุ่น แกรนด์ เชโรกีขึ้นมาใหม่ ตัวย่อ SRT มาจาก Street and Racing Technology ซึ่งเป็นแผนกพัฒนาระบบเครื่องยนต์ขั้นสูงของบริษัทไครสเลอร์ ( Chrysler ) ส่วนรหัส 8 ที่ต่อท้ายหมายถึงเครื่องยนต์ V8 เวอร์ชั่นแรงของแกรนด์ เชโรกี มีเครื่องยนต์แบบใหม่ล่าสุด HEMI V8 ด้วยเทคโนโลยีประหยัดน้ำมัน ความจุ 6.4 ลิตร สามารถวิ่งได้ถึง 800 กิโลเมตร สำหรับน้ำมันถังแรก ขณะที่ถังต่อมาได้ประมาณ 720 กิโลเมตร
          ด้านเครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ประมาณ 470 แรงม้า และแรงบิดประมาณ 63 กิโลกรัมต่อเมตร อัตราเร่งทำได้ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 257 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและระยะเบรคจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนหยุดนิ่ง อยู่ที่ 35 เมตร ส่วนระบบเกียร์นั้นเป็นแบบ LSD ( Limited Slip Differential ) ที่ช่วยแก้ปัญหาเวลารถตกหล่ม ลดอาการล้อฟรี ช่วยควบคุมการสะเทือนและทรงตัวของรถได้อีกด้วย พร้อมระบบขั้นสูงจาก Brembo
          สำหรับจี๊ป แกรนด์ เชโรกี SRT-8คันนี้ ได้ออกจำหน่ายให้ผู้ที่ชื่นชอบรถลุยแรง ๆ เรียบร้อยแล้ว โดยราคาประมาณอยู่ที่ 61,160 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,960,000 บาทไทย

น้ำมันแก๊สโซฮอล์ดียังไง


น้ำมันแก๊สโซฮอล์ดียังไง
แก๊สโซฮอล์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่างเอทานอล หรือ ที่เรียกว่า เอทิลแอลกอฮอล์ (ETHYL ALCOHOL) ซึ่งเป็น แอลกอฮอล์ ที่ได้จากการแปรรูปจากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ และเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5 % โดยปริมาตร ผสมกับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 91 (ชนิดที่มีคุณสมบัติบางตัวต่างจากเบนซิน 91 ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน) ในอัตราส่วนเบนซิน 9 ส่วน เอทานอล 1 ส่วน จึงได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95
ส่วนที่เรียกแก๊สโซฮอล์นั้น ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษจากคำว่า GASOLINE และ ETHANOL รวมกันเป็น GASOHOL สำหรับการผสมแอลกอฮอล์ในน้ำมันเบนซินในข้างต้น เป็นในลักษณะของสารเติมแต่งปรับปรุงค่า Oxygenates และออกเทน (Octane) ของน้ำมันเบนซิน ซึ่งสามารถใช้ทดแทนสารเติมแต่งชนิดอื่นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ MethyL-Tertiary-ButyL-Ether (MTBE) ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่าหลายพันล้านต่อปี
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (GASOHOL)
        ทุกวันนี้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินที่ลิตรละเกือบ 30 บาท ได้ทำลายสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยและกลายเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดในทุกวงการได้พูดคุยถกเถียงกันหนาหู ถึงราคาที่ปรับขึ้นจนใกล้เข้าสู่จุดวิกฤตอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้สืบเนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ขยับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วยประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเกือบทั้งหมด และยังคงต้องพึ่งพิงน้ำมันอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องพยายามหาแหล่งพลังงานทดแทนในประเทศมาใช้แทนน้ำมัน และหาแนวทางการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 Image
จากความต้องการของพลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศไทยในปี พ.ศ.2548 พบว่า ภาคขนส่งมีการใช้พลังงานมาที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38 เกือบทั้งหมดเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ “แก๊สโซฮอล์”
ที่มา energy.go.th

New Honda CR-V 2013 น่าใช้หรือเปล่า


New Honda CR-V 2013 น่าใช้หรือเปล่า
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก automobiles.honda.com
Honda CR-V 2013
หลังจากที่รอคอยกันมานาน สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวีรุ่นล่าสุดของทางค่ายฮอนด้า “นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี” (New Honda CR-V) ในที่สุดทางค่ายได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมเผยราคาจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าทางฮอนด้าจัดหนักและจัดเต็ม เพื่อหวังครองตลาดบ้านเราให้ได้ทั้งหมดภายในปีนี้
สำหรับ นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ตัวล่าสุดนี้ จัดเป็นรุ่นที่ 4 ของตระกูล ซีอาร์-วี ที่ออกแบบโดยเน้นความหรูหราโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเท่มากขึ้น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ 3 ชั้นพร้อมคิ้วโครเมียม ไฟท้ายและไฟเบรกแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์พร้อมกันชนท้ายขนาดใหญ่เฉพาะตัว และล้ออัลลอยด์ 5 ก้านขนาดใหญ่สุดเนี้ยบ ซึ่งทั้งหมดออกแบบมาได้อย่างกลมกลืน ส่วนสมรรถนะเบื้องต้น เครื่องยนต์จะมี 2 รุ่นได้แก่ เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ SOHC i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 190 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ DOHC i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า
แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 220 นิวตันเมตร ซึ่งเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นนั้น มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ผสานกับระบบควบคุมอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างสะดวก รวมทั้งช่วยลดแรงเสียดทานและการสั่นสะเทือนได้อย่างดี นอกจากนี้ยังมีระบบอีโค แอสซิสต์ (Eco Assist) ที่ช่วยประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปอีก และยังสามารถรองรับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเอทานอล E85 ได้อีกด้วย
All-New Honda CR-V 2013 rear red colour
ด้านภายในห้องโดยสารจะเน้นความกว้างขวางมากกว่ารุ่นเดิม เพราะเป็นรถเอสยูวีสำหรับครอบครัวขนาดย่อมอย่างแท้จริง โดยเป็นรถขนาด 5 ที่นั่ง ซึ่งที่นั่งด้านหลังคนขับนั้นพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ความจุในห้องวางของได้มากขึ้น วัสดุภายในรถไล่ตั้งแต่พรม หนังหุ้มคอนโซล เบาะที่นั่ง ทั้งหมดใช้วัสดุคุณภาพดีทั้งสิ้น ตัวคอนโซลรถมีการปรับปรุงใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ (i-MID) ซึ่งสามารถช่วยนำทาง บอกปริมาณน้ำมัน เชื่อมต่อสัญญาณสมาร์ทโฟนระบบ Bluetooth รวมไปถึงมีหน้าจอแอลซีดีไว้เลือกชมเพื่อความบันเทิง เรียกได้ว่าเป็นรถเอสยูวีที่หรูหราและอเนกประสงค์แบบสุด ๆ
All-New Honda CR-V 2013 Engine
สำหรับผู้ที่กำลังสนใจ นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไม่ปล่อยให้ต้องรอกันนานอีกต่อไป เพราะในตอนนี้ได้วางจำหน่ายและเผยถึงราคาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่รุ่น 2.0 S แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,164,000 บาท รุ่น 2.0 E แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,274,000 บาท รุ่น 2.4 EL 2WD แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,440,000 บาท และรุ่น 2.4 EL แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,524,000 บาท ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าการขายไว้ที่ 20,000 คัน ภายใน 1 ปี